หลังจากในบทความที่แล้วเราได้กล่าวถึงนิยามสาเหตุและประเภทของอัตราเงินเฟ้อไปแล้วคราวนี้เราจะมาดูวิธีการคำนวณอัตราเงินเฟ้อ เงินเฟ้อเองเป็นภาวะที่ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและยาวนาน
ตัวอย่างของอัตราเงินเฟ้อเช่นในปี 2000 น้ำตาล 1 กิโลกรัมมีมูลค่า 4,000 รูเปียห์อินโดนีเซีย แต่ในปี 2018 เราต้องจ่าย 12,000 รูเปียห์อินโดนีเซียเพื่อรับน้ำตาล 1 กิโลกรัม ราคาของมันเพิ่มขึ้นสามเท่าในรอบ 18 ปี
มีปัจจัยหลายประการที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อ ได้แก่ ความต้องการสินค้าที่สูงต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นและปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้น ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงอัตราเงินเฟ้อแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ เล็กน้อยปานกลางรุนแรงถึงรุนแรงมาก (hyperinflation)
(อ่านเพิ่มเติม: ความหมายและสาเหตุของเงินเฟ้อ)
เกี่ยวกับวิธีการคำนวณอัตราเงินเฟ้อนั้นสามารถทำได้สองวิธีคือการใช้การคำนวณดัชนีราคาผู้บริโภคและการใช้ดัชนีเบี่ยงเบน
สูตรที่ใช้ในดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) มีดังนี้
ใน =
ใน = อัตราเงินเฟ้อที่ต้องการ
CPI n = ดัชนีราคาผู้บริโภคปีฐาน (โดยทั่วไปคือ 100)
CPI n-1 = ดัชนีราคาผู้บริโภคของปีที่แล้ว
ในขณะเดียวกันสูตรที่ใช้ในการคำนวณ deflator มีดังนี้
Df n = GNP หรือ PDB deflator ถัดไป
Df n-1 = GNP หรือ GDP deflator สำหรับปีก่อนหน้า
ใช้สูตร CPI ลองทำโจทย์ตัวอย่างต่อไปนี้
เป็นที่ทราบกันดีว่าดัชนีราคาผู้บริโภค ณ สิ้นปี 2553 สูงถึง 125.17 และ ณ สิ้นปี 2554 เพิ่มขึ้นเป็น 129.91 กำหนดอัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในปี 2554!
เรารู้ว่า CPI ปี 2011 = 129.91 และ CPI ปี 2010 = 125.17 ถ้าเราใส่ไว้ในสูตร:
= 3,787
เราได้รับอัตราเงินเฟ้อ 3.787% และอยู่ในหมวดหมู่เบา