หากในภาษาโลกเรารับรู้ถึงการมีอยู่ของรูปแบบภาษาภาษาหรือภาษากล่าวคือการใช้ความสมบูรณ์ของภาษาการใช้รูปแบบบางอย่างเพื่อให้ได้ผลบางอย่างที่ทำให้งานวรรณกรรมมีชีวิตชีวามากขึ้นดังนั้นในภาษาอังกฤษก็มี
ภาษาเปรียบเปรย
โดยปกติภาษาเชิงเปรียบเทียบมักใช้เพื่อวิเคราะห์ความหมายที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นของคำ ในเพลงเช่นยังใช้เพื่อให้เนื้อร้องไพเราะยิ่งขึ้น
ในการเดินทางของมันมีภาษาเชิงอุปมาอุปไมยหลายประเภทที่จำเป็นต้องรู้รวมถึงการอุปมาอุปมัยการเป็นตัวเป็นตนหรือการเป็นตัวเป็นตนคำอุปมาอุปมัยและอติพจน์
คำเปรียบเปรยใช้เพื่ออธิบายบางสิ่งหรือความรู้สึกเมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งอื่น
ตัวอย่าง: "You're my bright star" (คุณคือดาวจรัสแสงของฉัน)
"เวลาคือเงิน".
(อ่านเพิ่มเติม: การทำความเข้าใจโครงสร้างความตึงเครียดในอดีต)
ตัวตนใช้เพื่อแสดงการกระทำของวัตถุที่ไม่ใช่มนุษย์ซึ่งกำหนดลักษณะของมนุษย์
ตัวอย่าง: "The moon smile above us" (พระจันทร์ยิ้มอยู่เหนือเรา)
"ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวที่เต้นรำ"
Simile ซึ่งเป็นภาษาเปรียบเปรยภาษานี้ใช้เพื่อแสดงการเปรียบเทียบระหว่างวัตถุสองชิ้นที่มักมีอักขระเหมือนกัน
ตัวอย่าง: "คุณช่างไร้เดียงสาราวกับนางฟ้า" (คุณช่างไร้เดียงสาเหมือนนางฟ้า)
Onomatopoeiaใช้เพื่ออธิบายว่าคำศัพท์บางคำฟังดูตรงกับความเป็นจริงอย่างไร
ตัวอย่าง: "Whoosh" คือเสียงของลม (Whoosh คือเสียงของลม)
Hyperbole หรืออติพจน์ใช้เพื่อแสดงนิพจน์ที่เกินจริง
ตัวอย่าง: "ฉันเห็นรอยยิ้มที่ทำให้คนทั้งเมืองสว่างขึ้น" (ฉันเห็นรอยยิ้มที่ทำให้เมืองทั้งเมืองสว่างขึ้น)
ในระยะสั้นภาษาที่เป็นรูปเป็นร่างหรือภาษาเชิงเปรียบเทียบมักใช้เพื่ออธิบายความคิดของผู้เขียนโดยการเปรียบเทียบเน้นความคิดและทำให้การเขียนมีความสวยงามมากขึ้น